SEO คืออะไร ทำยังไงให้คอนเทนต์ติดแรงค์ ฉบับ 2024

SEO คืออะไร พร้อมทริคในการทำเว็บไซต์ให้ติดอันดับ ฉบับ 2024



ในยุคที่ใคร ๆ ก็ต้องพึ่งการเสิร์ช Google เพื่อค้นหาทุกอย่างที่ต้องการ การมีเว็บไซต์ที่แข็งแรงและเป็นที่รู้จักจึงเป็นปัจจัยที่สำคัญในการเติบโตของแบรนด์และธุรกิจของคุณ

SEO หรือ Search Engine Optimization คือวิธีการปรับแต่งไส้ในต่าง ๆ ของเว็บไซต์ของคุณ ไม่ว่าจะเบื้องหลังผ่านการเขียนโค้ดและวางโครงสร้างเว็บไซต์ให้เป็นระบบ หรือเบื้องหน้าผ่านการลงคอนเทนต์ รวมถึงการโปรโมทเว็บไซต์จากปัจจัยภายนอกอื่น ๆ เพื่อให้เว็บไซต์มีความน่าเชื่อถือเพิ่มมากขึ้น ในสายตาของ Google ให้เว็บไซต์ของคุณติดอยู่อันดับแรก ๆ เวลาค้นหาโดยที่ไม่ต้องเสียค่ายิงโฆษณาแม้แต่น้อย

บทความนี้จะรวบรวมทุกสิ่งที่คุณต้องรู้เกี่ยวกับขั้นตอนการทำ SEO โดยเราจะอธิบายให้คุณเข้าใจตั้งแต่ที่มาที่ไปของ SEO หลักการทำงานของ Search Engine จนถึงเทคนิคการทำ SEO แต่ละประเภทให้ติดอันดับ หากพร้อมแล้วก็ มาเรียนรู้ไปด้วยกันในบทความนี้

SEO คืออะไร


SEO ย่อมาจาก Search Engine Optimization คือกลยุทธ์ในการปรับแต่งเว็บไซต์ของคุณให้มีคุณภาพและถูกใจ Algorithm ของ Search engine (เช่น Google) ให้ได้มากที่สุด เพื่อที่จะเพิ่มยอดการเข้าถึงเว็บไซต์ (Organic Traffic) ของคุณ การทำ SEO จึงสามารถทำได้ด้วยการปรับปรุงคอนเทนต์ที่มีอยู่บนเว็บไซต์ หรือการปรับโครงสร้างเว็บไซต์ให้สอดคล้องและเข้ากับเกณฑ์การจัดแรงค์ของ Search Engine นั่นเอง

เรียนรู้เพิ่มเติมเกี่ยวกับหลักการทำงานของ SEO ได้ที่นี่ >>>SEO คืออะไร ? รวมทุกอย่างที่คุณต้องรู้ของการทำ SEO ปี 2023

ทำไมการทำ SEO จึงสำคัญกับนักทำการตลาดออนไลน์


มื่อได้ทำความเข้าใจกับความหมายของมันแล้ว เราจะเห็นได้ว่าการนำ SEO มาปรับใช้กับแบรนด์ของคุณนั้นเป็นตัวช่วยที่มีประโยชน์อย่างมากในการส่งเสริมการเติบโตของแบรนด์คุณผ่านช่องทางออนไลน์ การทำ SEO ที่ประสบความสำเร็จจะทำให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับต้น ๆ เวลาลูกค้าทำการเสิร์ช ซึ่งจะนำมาสู่การมองเห็นของลูกค้าที่เพิ่มขึ้นและการปิดยอดขาย เพื่อเพิ่มโอกาสทางธุรกิจของคุณอีกด้วย การเรียนรู้ SEO Tools จึงเป็นอีกหนึ่งสกิลที่นักการตลาดสาย Digital Marketing ควรเรียนรู้เอาไว้ การทำ SEO ยังมีประโยชน์อีกหลายประการ อย่างเช่น :

  • ช่วยสร้าง Awareness และภาพลักษณ์ “ผู้เชี่ยวชาญ” ให้กับแบรนด์


    หากมองในมุมมองของลูกค้า เวลาเข้า Google ทีไร คุณคงอยากที่จะกดเข้าไปชมเว็บไซต์อันดับแรก ๆ มากกว่าอันดับท้าย ๆ ใช่ไหม ?

    วิธีการทำงานของ Google SEO หรือของ Search Engine ใด ๆ จะอาศัยการประเมินความเกี่ยวข้องของเนื้อหาที่ตรงกับคำค้นหามากที่สุดเป็นหลัก เพราะฉะนั้น ยิ่งเว็บไซต์ของเรามีการทำ SEO ที่มีประสิทธิภาพ โอกาสในการติดอันดับการค้นหาจะยิ่งดีมากขึ้นเท่านั้น และนำมาสู่ Awareness ที่เพิ่มขึ้นและภาพลักษณ์ที่มีความเป็น “ผู้เชี่ยวชาญ” มากยิ่งขึ้นนั่นเอง

  • ช่วยเพิ่มยอด Organic traffic


    การทำ SEO นั้นสามารถช่วยเพิ่มยอด Organic Traffic เข้าเว็บไซต์ของคุณได้เป็นอย่างดีโดยที่ไม่ต้องเสียเงินให้กับการยิงโฆษณาแม้แต่นิด ซึ่งการปรับปรุงและรักษาอันดับของคอนเทนต์คุณอย่างสม่ำเสมอจะช่วยนำพาลูกค้าใหม่เข้ามาได้เรื่อย ๆ เทียบเท่ากับการเสียเงินเพื่อทำการโฆษณาหรือแคมเปญผลักดันยอดขายอื่น ๆ เลยทีเดียว

    แน่นอนว่าคุณสามารถใช้เงินแก้ปัญหาและอาศัยการยิงโฆษณาผ่าน Google Ads ในการดันเว็บไซต์ของคุณให้อยู่บนจั่วหัวเวลาเสิร์ชก็ได้เช่นกัน แต่การใช้ Search Engine Optimization แบบส่งเสริมกันไปจะยิ่งช่วยให้เว็บไซต์ของคุณมียอดเข้าถึงที่มีคุณภาพขึ้นไปอีก

  • ช่วยเพิ่มยอดขาย


    การทำ SEO ที่ดี โดยเฉพาะการต่อยอด keyword จะช่วยดึงดูดผู้คนและนำมาสู่การมองเห็นที่เพิ่มขึ้นไปได้มากกว่าปกติ เมื่อคนยิ่งเห็นเว็บไซต์ของคุณเยอะ โอกาสในการที่พวกเขาจะเข้าไปกดดูหน้าอื่น ๆ ในเว็บไซต์ของคุณก็ยิ่งมากขึ้น และนำมาสู่การซื้อขายที่สำเร็จ

    สมมุติว่าคุณเป็นแบรนด์เสื้อผ้าผู้ชายแบรนด์หนึ่ง และคุณทำคอนเทนต์บล็อกที่กล่าวถึงเทรนด์เสื้อผ้าผู้ชายในปี 2024 หากคุณวางกลยุทธ์ SEO ให้กับบล็อกนั้นเป็นอย่างดีด้วยการแทรก Keywords ที่มี Search Volume เยอะจนนำมาสู่อันดับต้น ๆ นอกจากว่าผู้ที่เข้าชมจะได้ความรู้จากบล็อกของคุณ ผู้คนเหล่านั้นยังมีโอกาสเข้าแวะชมเว็บไซต์ของคุณต่อ ๆ ไป และกดซื้อเสื้อผ้าใส่ตะกร้าออนไลน์จากร้านคุณก็เป็นได้ โดยทั้งหมดนี้คุณไม่ต้องเสียค่าโฆษณาอีกด้วย

SEO กับ SEM แตกต่างกันอย่างไร


ผู้ที่คุ้นเคยกับการทำการตลาดออนไลน์มักจะเคยได้ยินชื่อของ SEO และ SEM โดยทั้งสองคำถือว่าเป็นกลยุทธ์ในการเพิ่มยอดขายและเติบโตธุรกิจออนไลน์ทั้งคู่ แต่รู้หรือไม่ว่าทั้งสองประเภทนั้นต่างกันอย่างไร ?

SEM (Search Engine Marketing) คือภาพรวมของการทำการตลาดออนไลน์ผ่านการใช้ Search Engine และ Keywords ที่จำเป็นเพื่อเพิ่มยอดการมองเห็นให้กับเว็บไซต์ โดย SEM จะครอบคลุมถึงการทำ Paid

Search (หรือ PPC / Pay Per Click) ที่ทำได้ด้วยการเสียค่าใช้จ่ายเพื่อจัดทำแคมเปญโฆษณาบน Search Engine เพื่อให้เว็บไซต์ถูกแสดงผลอยู่ข้างบนสุดเวลาค้นหา โดยคุณสามารถกำหนดและบริหารแคมเปญได้ด้วยเครื่องมือหลักของ Search Engine นั้น ๆ และ Organic Search ผ่านการทำ SEO

SEO (Search Engine Optimization) คือวิธีในการเพิ่มยอดการมองเห็นเหมือนกัน แต่เป็นการทำแบบ

Organic Search ที่ไม่เสียค่าใช้จ่ายแทน โดยสามารถทำได้ผ่านการอัปเดตบทความ SEO ลงบนเว็บไซต์ และผลลัพธ์จะขึ้นอยู่กับคุณภาพของเนื้อหาและรูปแบบของเว็บไซต์ที่ตรงกับความต้องการของ Algorithm ของ search engine นั้น

หลักการทำงานของ SEO


เพื่อให้เห็นภาพของการทำ SEO มากขึ้น เราขอเท้าความหลักการทำงานของ SEO เล็กน้อย โดยในบทความนี้จะยึดจากกระบวนการของ Google เป็นหลัก

SEM (Search Engine Marketing) คือภาพรวมของการทำการตลาดออนไลน์ผ่านการใช้ Search Engine และ Keywords ที่จำเป็นเพื่อเพิ่มยอดการมองเห็นให้กับเว็บไซต์ โดย SEM จะครอบคลุมถึงการทำ Paid

ภาพรวมการทำงานของ SEO

  • Crawling: เมื่อมีคอนเทนต์ก็ต้องมีตัวคัดกรอง โดย Search Engine แต่ละที่ (อย่างเช่น Google) จะส่งบอทออกไป Crawl หรือเก็บข้อมูลจากเว็บไซต์ทั้งหมดบนอินเทอร์เน็ต ซึ่งบอทเหล่านี้จะเก็บข้อมูลตรงนี้มาพิจารณาและหาความเกี่ยวข้องของกันและกัน
  • Indexing: ขั้นตอนต่อมา Search Engine จะนำข้อมูลที่ได้มา มาทำดรรชนี หรือ “Index” เป็นฐานข้อมูล พร้อมกับ tag ฐานข้อมูลแต่ละชนิดตามประเภทและ Keyword ที่เหมาะสม
  • Ranking: ขั้นตอนสุดท้าย เมื่อมีผู้เข้าชมมาค้นหาข้อมูลด้วย Keyword ระบบของ Google ก็จะแสดงผลลัพธ์จาก Index ด้วยระบบ Search Engine Algorithm ซึ่งผลลัพธ์จะถูกจัดเรียงอันดับสูง-ต่ำจาก Keyword ที่เกี่ยวข้องกับผู้ใช้งานที่สุด จึงเป็นที่มาของการจัดและติดอันดับนั่นเอง

ปัจจัยของ Ranking ที่ส่งผลในการทำให้ติดอันดับมีดังนี้

  • ความเกี่ยวข้องของเว็บเพจ : Algorithm ของ Search Engine จะวิเคราะห์ Keywords ที่ถูกแทรกอยู่ในเนื้อหาหรือหัวข้อ ว่าเกี่ยวข้องกับสิ่งที่ผู้ใช้งานค้นหามากน้อยแค่ไหน เพราะฉะนั้น การทำ Keyword Research จึงเป็นสิ่งที่สำคัญ เพื่อที่คุณจะได้ทราบว่า Keyword ตัวไหนที่มี Search Volume หรือว่ายอดการค้นหาที่มากและเหมาะกับคอนเทนต์ของคุณที่สุด
  • คุณภาพของเนื้อหา : ระบบของ Search Engine ถูกพัฒนาอยู่ตลอดเพื่อให้จับได้ว่าเนื้อหาบนแต่ละเว็บไซต์มีความเชี่ยวชาญและความน่าเชื่อถือแค่ไหน เพื่อที่จะคัดและจัดอันดับกรองคอนเทนต์ที่มีคุณภาพแก่ผู้ค้นหา การเขียนคอนเทนต์ SEO จึงต้องอาศัยความเอาใจใส่เช่นกัน
  • การแสดงผลบนหน้าจอของเว็บเพจ: สังเกตได้ว่าเว็บไซต์ในปัจจุบันจะถูกออกแบบมาสำหรับทั้งผู้ใช้บนคอมพิวเตอร์ มือถือ และแท็บเล็ต ซึ่งรายละเอียดเล็ก ๆ แบบนี้ก็มีผลต่อการติดอันดับได้เช่นกัน โดย Algorithm ของ Search Engine จะจัดแสดงเว็บไซต์ที่มีเวอร์ชั่นที่เหมาะสมกับอุปกรณ์ของผู้ค้นหามากที่สุด
  • บริบทและการตั้งค่า : นอกจากนี้ Algorithm ของ Search engine ยังคำนึงถึงสิ่งอื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นประวัติการค้นหาของผู้ใช้งาน ภาษาที่ใช้ โลเคชัน และปัจจัยอื่น ๆ เพื่อประกอบการวิเคราะห์และจัดแสดงอีกด้วย

เทคนิคการทำ SEO ให้ติดอันดับ


เมื่อได้ทราบรายละเอียด ความสำคัญ และหลักการทำงานเบื้องต้นของ SEO แล้ว เราจะมาดูทริกและเทคนิคในการทำ SEO เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับกันเลย โดยจะแบ่งตามประเภทของ SEO ดังนี้

เทคนิคในการทำ Technical SEO มีดังนี้ :

  • จัดทำ SSL Certificate หรือการเปลี่ยนจาก http:// เป็น https:// โดยจะช่วยรับประกันความปลอดภัยของเว็บไซต์คุณ
  • ความรวดเร็วของหน้าเว็บ ก็มีผลต่อการจัดอันดับ ควรปรับขนาดของไฟล์รูปภาพ วิดีโอ หรือสื่อต่าง ๆ ให้ขนาดเล็กลง ย่อโค้ดเท่าที่จะย่อได้ และเลือกใช้โฮสติ้ง (Hosting) เพื่อช่วยให้ผู้ค้นหาสามารถโหลดหน้าเว็บได้อย่างรวดเร็ว
  • จัดระเบียบเว็บไซต์ให้ดี ควรมี XML Sitemap หรือแผนผังที่จัดแสดงข้อมูลความเกี่ยวข้องของแต่ละองค์ประกอบในเว็บของคุณ หรือการจัดระเบียบ URL ในแต่ละหน้าให้กระชับเป็นระบบ รวมถึงการติด robot.txt ในโค้ดเพื่อบ่งชึ้และช่วยให้ Crawler Bots เข้าใจเนื้อหาและโครงสร้างของเว็บไซต์คุณขึ้นไปอีก
  • ควรสร้างเว็บไซต์เพื่อให้แสดงผลรองรับกับการใช้งานบนอุปกรณ์ทุกชนิดไม่ว่าจะเป็นคอมพิวเตอร์ มือถือ หรือแท็บเล็ต

เทคนิคในการทำ On-page SEO มีดังนี้ :

  • ทำการ Keyword Researchเพื่อเลือกใช้คำที่มีการค้นหามากที่สุดและตรงกับกลุ่มเป้าหมายของคุณที่สุด เพื่อให้เว็บไซต์ของคุณติดอันดับ โดยปัจจุบันนี้มี SEO Tools ต่าง ๆ มากมายที่เปิดให้ใช้ฟรีอย่าง Ubersuggest หรือตัวเสียเงินอย่าง Google Ads Keyword Planner ที่พัฒนาโดย Google เองก็ได้
  • ใส่ Main Keyword ของคุณภายใน 100 คำแรกของคอนเทนต์คุณ​ และแทรกมันลงไปตาม Heading ต่าง ๆ
  • ปรับแต่ง Title Tags และ Meta Description ด้วย Keywords ของเว็บไซต์เพื่อให้ Algorithm ของ Search Engine สามารถพิจารณาอันดับของคุณอย่างมีประสิทธิภาพ
  • ใส่ HTML Tags (H1, H2, H3, …) ในโค้ดเพื่อเรียงลำดับความสำคัญของคอนเทนต์
  • ใส่ Internal Links เพื่อเชื่อมไปยังเพจอื่น ๆ เพื่อให้ผู้ค้นหาใช้เวลาบนเว็บไซต์ของคุณนานยิ่งขึ้น
  • เมื่อแทรกรูปหรือสื่ออื่น ๆ ให้ใส่ ชื่อรูป และ Alternative Text เพื่อเพิ่มตำแหน่ง Keywords ของคุณในคอนเทนต์นั้น
  • ย่อขนาดภาพและไฟล์อื่น ๆ ให้เล็กลงเพื่อการโหลดที่รวดเร็วและลื่นไหล
  • ออกแบบเว็บไซต์ให้รองรับอุปกรณ์ได้ทุกชนิด

Off-page SEO

Off-page SEO คือการทำคอนเทนต์ SEO บนเว็บไซต์อื่นให้คนคลิกกลับมาที่เว็บไซต์ของเรา เรียกอีกอย่างว่าการ Backlink โดยประโยชน์ของการมีคอนเทนต์ของเราอยู่ในเว็บไซต์ของคนอื่น จะช่วยให้ Crawler Bots เห็นว่าเนื้อหาของเรานั้นถูกอ้างอิงโดยเว็บไซต์อื่น ๆ ซึ่งจะเพิ่มความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์เรานั่นเอง

เทคนิคในการทำ Off-page SEO มีดังนี้ :

  • จัดทำคอนเทนต์ที่มีคุณภาพและตรงกับกลุ่มเป้าหมาย โดยออกแบบคอนเทนต์ให้ตรงกับความต้องการ กลุ่มลูกค้า หรือสไตล์ของเว็บไซต์นั้น ๆ จะดีที่สุด
  • สร้างสื่อต่าง ๆ ไม่ว่าจะเป็นภาพ Infographic หรือวีดีโอที่สามารถอ้างอิงผู้ชมให้กลับมาหาเว็บไซต์ของเราได้
  • ร่วมมือกับเว็บไซต์และสื่ออื่น ๆ ไม่ว่าจะเป็นการจ้างเขียน คิดโปรเจกต์ Collabration หรือส่ง Press Release เพื่อให้เขาสร้างคอนเทนต์ที่จะ Backlink กลับมาหาเว็บไซต์ของคุณ
  • ส่งตัวแทนเป็น Guest Writer ไปยังเว็บไซต์อื่น ๆ แล้วถือโอกาสในการ Backlink กลับไปหาเว็บไซต์ของคุณ
  • วางกลยุทธ์ Content Marketing ผ่านโซเชียลมีเดียหรือจ้าง Influencer แชร์คอนเทนต์ของคุณ เพื่อให้ลิงก์ของคุณมีการกดเข้าชมให้ได้มากที่สุด ซึ่งจำนวนคลิกที่มากขึ้นจะทำให้ Crawler Bots มองว่าเว็บไซต์ของคุณเป็นเว็บไซต์ที่มีคุณภาพ

สรุป

การทำ SEO เป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ช่วยเพิ่มโอกาสทางธุรกิจ ให้กลุ่มเป้าหมายมองเห็นสินค้าหรือบริการของคุณได้มากยิ่งขึ้นบน Google Search Engine เมื่อเว็บไซต์ของธุรกิจคุณได้รับการจัดอันดับต้น ๆ ในคีย์เวิร์ดที่กลุ่มเป้าหมายค้นหา ถือว่าเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ทางการตลาดที่มีส่วนสำคัญต่อการเติบโตของธุรกิจบนโลกออนไลน์