ในโลกความปลอดภัยไซเบอร์ มีคำกล่าวที่น่าตกใจว่า “แฮกเกอร์ไม่ได้โจมตีแค่ข้อมูลของคุณ แต่พวกเขาโจมตี ‘ไฟล์สำรองข้อมูล’ (Backups) ของคุณก่อน” เพื่อให้มั่นใจว่าเมื่อพวกเขาเรียกค่าไถ่ (Ransomware) คุณจะไม่มีทางเลือกอื่นนอกจากต้องจ่ายเงิน
สำหรับเจ้าของกิจการ หน่วยงานภาครัฐ และผู้ดูแลระบบไอที การมีแค่ Backup ธรรมดาบนฮาร์ดดิสก์หรือบน Cloud ที่เชื่อมต่อตลอดเวลา “ไม่เพียงพออีกต่อไป” เพราะถ้าเครือข่ายหลักติดไวรัส ไฟล์สำรองข้อมูลเหล่านั้นก็มักจะถูกเข้ารหัสไปด้วย
ทางออกของปัญหานี้คือเทคนิคระดับตำนานที่ถูกนำมาปัดฝุ่นใหม่ในยุคคลาวด์ นั่นคือ “Air-Gapped Backups”
Air-Gapped Backup คืออะไร? (เข้าใจง่ายๆ ใน 1 นาที)
Air-Gapped (แอร์-แกป) แปลตรงตัวคือ “ช่องว่างอากาศ” หมายถึงสภาวะที่ระบบคอมพิวเตอร์หรือข้อมูล “ถูกตัดขาด” จากเครือข่ายภายนอกและอินเทอร์เน็ตอย่างสิ้นเชิง เปรียบเสมือนการสร้าง “ฉนวนกันไฟฟ้า” หรือ “เกาะร้าง” ให้กับข้อมูล
- ในอดีต: เราทำ Air-Gap ด้วยการเซฟข้อมูลลงเทป (Tape Drive) หรือฮาร์ดดิสก์พกพา แล้วดึงสายออก นำไปเก็บใส่ตู้เซฟ (Physical Air-Gap)
- ในยุคคลาวด์ (ปัจจุบัน): เราใช้วิธี “Logical Air-Gap” หรือการใช้อินเทอร์เน็ตทำ Air-Gap แบบเสมือน ผ่านเทคโนโลยีที่เรียกว่า Immutable Storage
ทำไมธุรกิจต้องทำ Air-Gapped? นี่คือสิ่งที่ควรรู้
- กัน Ransomware ได้ 100%: ไวรัสแพร่กระจายผ่านเครือข่าย หากข้อมูล Air-Gapped ของคุณ “ไม่มีสายเชื่อมต่อ” หรือ “ถูกล็อกไม่ให้แก้ไข” ไวรัสก็ทำอะไรไม่ได้
- ป้องกันความผิดพลาดจากคน (Human Error): ป้องกันพนักงานเผลอลบข้อมูลสำคัญ หรือแอดมินที่ทุจริตสั่งลบข้อมูลทั้งหมด
- เป็นมาตรฐานใหม่ของการกู้คืน (Recovery): บริษัทประกันภัยไซเบอร์ และกฎหมายคุ้มครองข้อมูลหลายแห่ง เริ่มแนะนำให้องค์กรต้องมี Air-Gapped Backup จึงจะผ่านมาตรฐาน
เทคนิคการสร้าง Air-Gapped ในยุคคลาวด์ (Logical Air-Gapping)
สำหรับ SMEs หรือองค์กรที่ไม่มีงบจ้างรถขนเทปไปเก็บเซฟ นี่คือวิธีทำ Air-Gapped บนโลกดิจิทัล:
1. ใช้ฟีเจอร์ Immutable Storage (Object Lock)
นี่คือหัวใจสำคัญของยุคคลาวด์ ผู้ให้บริการ Cloud ชั้นนำ (เช่น AWS S3, Azure Blob, Google Cloud) จะมีฟีเจอร์ที่เรียกว่า Object Lock หรือ Immutability
- หลักการ: เมื่อเขียนข้อมูลลงไปแล้ว ข้อมูลนั้นจะถูกล็อก “ห้ามแก้ไข ห้ามลบ ห้ามเขียนทับ” (WORM: Write Once, Read Many) ตามระยะเวลาที่กำหนด (เช่น 30 วัน หรือ 1 ปี)
- ผลลัพธ์: ต่อให้แฮกเกอร์ได้รหัสผ่านของแอดมินไป ก็ไม่สามารถลบไฟล์นี้ได้จนกว่าจะครบกำหนดเวลา
2. กฎ 3-2-1-1-0 (มาตรฐานทองคำใหม่)
สูตรการ Backup เดิมคือ 3-2-1 แต่ยุคนี้ต้องอัปเกรดเป็น 3-2-1-1-0:
- 3: มีข้อมูลสำรองอย่างน้อย 3 ชุด
- 2: เก็บในสื่อบันทึกข้อมูล 2 ประเภทที่ต่างกัน
- 1: เก็บไว้นอกสถานที่ (Offsite) 1 ชุด (เช่น บน Cloud)
- 1: ต้องมี 1 ชุดที่เป็น Offline หรือ Air-Gapped/Immutable
- 0: ต้องตรวจสอบแล้วว่ากู้คืนได้จริง (0 Error)
3. แยกบัญชีผู้ใช้ (Segregation of Duties)
อย่าใช้บัญชี Admin หลักของบริษัทในการจัดการระบบ Backup
- สร้างบัญชีเฉพาะสำหรับ Backup System ที่ไม่ได้เชื่อมต่อกับ Domain Controller ของบริษัท
- เปิดใช้งาน MFA (Multi-Factor Authentication) สำหรับการเข้าถึงข้อมูล Air-Gapped เสมอ
เคล็ดลับการใช้งานจริง ดึงสายออก หรือ ล็อกคลาวด์?
หากคุณเป็น SME หรือผู้ใช้งานทั่วไป การทำ Air-Gap แบบง่ายและประหยัดที่สุดคือ:
- แบบบ้านๆ (Physical): ใช้ External Hard Disk สองลูก สลับกัน Backup ทุกสัปดาห์ เมื่อ Backup เสร็จ “ให้ดึงสาย USB ออกทันที” และเก็บไว้ในที่ปลอดภัย นี่คือ Air-Gap ที่ถูกที่สุดและได้ผลจริง
- แบบองค์กร (Cloud): ติดต่อผู้ให้บริการ Cloud Backup ของคุณ แล้วถามหาบริการ “Immutable Backup” หรือ “Ransomware Protection” ซึ่งส่วนใหญ่มีให้บริการแล้ว แต่ต้องเข้าไป “เปิดการตั้งค่า” (Enable) ก่อนเสมอ ไม่ได้เปิดให้อัตโนมัติ
บทสรุป การลงทุนที่คุ้มค่าที่สุด
การทำ Air-Gapped Backup อาจดูยุ่งยากและมีค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้นเล็กน้อย แต่เมื่อเทียบกับความเสียหายจากการถูก Ransomware เรียกค่าไถ่ (ซึ่งอาจหลักแสนถึงหลักล้านบาท) หรือข้อมูลลูกค้าหลุดหาย การสร้าง “ฉนวนทางไซเบอร์” นี้คือการลงทุนที่คุ้มค่าที่สุดในการการันตีความอยู่รอดของธุรกิจในยุคดิจิทัล
พร้อมปกป้องธุรกิจและชีวิตดิจิทัลของคุณให้ปลอดภัยแล้วหรือยัง?