บทความนี้จะพาไปเจาะลึกถึงสถานการณ์แรนซัมแวร์ในประเทศไทย สถิติที่น่าสนใจ สายพันธุ์ที่ต้องจับตามองเป็นพิเศษ พร้อมทั้งแนวทางการป้องกันและรับมือที่ทุกองค์กรต้องรู้
สถานการณ์แรนซัมแวร์ในประเทศไทยรุนแรงกว่าที่คิด
ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายหลักของการโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ ข้อมูลจากหลายแหล่งชี้ให้เห็นถึงแนวโน้มที่น่าเป็นห่วง
- สถิติการรับแจ้งเหตุ จากรายงานของ ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA Thailand) ในปี 2566 พบว่าภัยคุกคามประเภทแรนซัมแวร์เป็นหนึ่งในภัยคุกคามที่ถูกร้องเรียนและสร้างความเสียหายเป็นอันดับต้นๆ ให้กับหน่วยงานทั้งภาครัฐและเอกชน
- มูลค่าความเสียหาย รายงาน “The State of Ransomware 2023” โดย Sophos ระบุว่า องค์กรในไทยที่ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ มีถึง 75% ที่ข้อมูลถูกเข้ารหัส ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก และค่าใช้จ่ายในการกู้คืนระบบ (ไม่รวมค่าไถ่) เฉลี่ยสูงถึง 1.35 ล้านดอลลาร์สหรัฐ
- อุตสาหกรรมเป้าหมาย กลุ่มอุตสาหกรรมการผลิต, ภาคการศึกษา, สาธารณสุข, และหน่วยงานภาครัฐ เป็นกลุ่มที่มีความเสี่ยงสูง เนื่องจากมีข้อมูลสำคัญและบางครั้งระบบป้องกันอาจยังไม่แข็งแกร่งพอ
3 สายพันธุ์แรนซัมแวร์ที่พบบ่อยและต้องจับตาในไทย
สายพันธุ์ | วิธีการโจมตี | จุดเด่น |
---|---|---|
1.LockBit | มักใช้ช่องโหว่ของระบบเครือข่าย เช่น Remote Desktop Protocol (RDP) ที่ตั้งค่าไม่ปลอดภัย, การโจมตีผ่านอีเมลหลอกลวง (Phishing), และการใช้ประโยชน์จากช่องโหว่ซอฟต์แวร์ที่ยังไม่ได้รับการอัปเดต | มีความเร็วในการเข้ารหัสข้อมูลสูงมาก และใช้เทคนิค Double Extortion คือไม่เพียงแต่เข้ารหัสไฟล์ แต่ยังขโมยข้อมูลสำคัญออกไปก่อน แล้วขู่ว่าจะนำไปเปิดเผยในที่สาธารณะหากไม่จ่ายค่าไถ่ |
2.Clop (หรือ Cl0p) | เชี่ยวชาญในการหาช่องโหว่แบบ Zero-day ของซอฟต์แวร์ที่ใช้งานกันอย่างแพร่หลายเพื่อขโมยข้อมูลจำนวนมหาศาล | เน้นการขโมยข้อมูล (Data Exfiltration) เป็นหลัก ก่อนที่จะทำการเข้ารหัสในภายหลัง ทำให้แม้องค์กรจะมีข้อมูลสำรอง แต่ก็ยังเสี่ยงต่อการถูกเปิดโปงข้อมูลสำคัญอยู่ดี |
3.Conti | ใช้หลากหลายวิธีตั้งแต่ Phishing, มัลแวร์, ไปจนถึงการจ้างคนในองค์กรเป้าหมายเพื่อเข้าถึงระบบ | มีโครงสร้างองค์กรคล้ายบริษัท มีฝ่ายสนับสนุนลูกค้า (สำหรับเจรจาค่าไถ่) และมีการวิเคราะห์ข้อมูลทางการเงินของเหยื่อเพื่อเรียกค่าไถ่ในจำนวนที่สูงที่สุดเท่าที่เหยื่อจะจ่ายได้ |
แนวทางการป้องกันและรับมือกับแรนซัมแวร์ (Proactive & Reactive)
การป้องกันที่ดีที่สุดคือการเตรียมความพร้อมก่อนเกิดเหตุ นี่คือแนวทางที่ทุกองค์กรควรนำไปปรับใช้
การป้องกันเชิงรุก (Proactive Defense)
- สำรองข้อมูลอย่างสม่ำเสมอ (3-2-1 Rule):
- 3: เก็บสำเนาข้อมูลไว้อย่างน้อย 3 ชุด (รวมต้นฉบับ)
- 2: จัดเก็บข้อมูลในสื่อที่แตกต่างกัน 2 ชนิด (เช่น ฮาร์ดดิสก์ภายนอก และ Cloud Storage)
- 1: ต้องมีสำเนา 1 ชุด เก็บไว้นอกสถานที่ (Off-site) หรือบนระบบคลาวด์ที่แยกจากเครือข่ายหลัก
- สร้างความตระหนักรู้ให้พนักงาน (Security Awareness Training): อบรมพนักงานให้สามารถสังเกตอีเมลหลอกลวง, ไม่คลิกลิงก์น่าสงสัย, และไม่ดาวน์โหลดไฟล์จากแหล่งที่ไม่น่าเชื่อถือ
- อัปเดตแพตช์และซอฟต์แวร์สม่ำเสมอ (Patch Management): ปิดช่องโหว่ของระบบปฏิบัติการและซอฟต์แวร์ต่างๆ ทันทีที่มีการออกแพตช์อัปเดต
- ใช้รหัสผ่านที่รัดกุมและเปิดใช้งาน MFA (Multi-Factor Authentication): โดยเฉพาะกับบัญชีผู้ดูแลระบบและบริการที่เข้าถึงได้จากภายนอก เช่น VPN, RDP, Email
- ติดตั้งและอัปเดตโซลูชันความปลอดภัย: ใช้โปรแกรม Antivirus/Anti-malware ที่มีคุณภาพ และพิจารณาใช้โซลูชันขั้นสูงอย่าง EDR (Endpoint Detection and Response) หรือ XDR (Extended Detection and Response) เพื่อตรวจจับภัยคุกคามที่ซับซ้อน
การรับมือเมื่อถูกโจมตี (Incident Response)
หากสงสัยว่าถูกโจมตีแล้ว ให้ปฏิบัติตามขั้นตอนเหล่านี้ทันที:
- ตัดการเชื่อมต่อ แยกเครื่องคอมพิวเตอร์ที่ติดเชื้อออกจากเครือข่าย (ถอดสาย LAN, ปิด Wi-Fi) เพื่อป้องกันการแพร่กระจาย
- ประเมินความเสียหาย ตรวจสอบว่าไฟล์ใดถูกเข้ารหัสและระบบใดได้รับผลกระทบบ้าง
- แจ้งผู้เกี่ยวข้อง แจ้งทีม IT, ผู้บริหาร, และที่ปรึกษาด้านความปลอดภัยไซเบอร์ทันที
- ห้ามจ่ายค่าไถ่ หน่วยงานภาครัฐและผู้เชี่ยวชาญทั่วโลกแนะนำ ไม่ให้จ่ายค่าไถ่ เพราะไม่มีอะไรรับประกันว่าจะได้ข้อมูลคืน และยังเป็นการสนับสนุนให้กลุ่มอาชญากรเติบโตต่อไป
- แจ้งหน่วยงานที่กำกับดูแล ติดต่อและรายงานเหตุการณ์ไปยัง NCSA Thailand หรือ กองบัญชาการตำรวจสืบสวนสอบสวนอาชญากรรมทางเทคโนโลยี (บช.สอท.)
แรนซัมแวร์ไม่ใช่แค่ปัญหาของฝ่ายไอที แต่เป็นความเสี่ยงทางธุรกิจที่สำคัญ การลงทุนในการป้องกันเชิงรุก เช่น การสำรองข้อมูล, การฝึกอบรมพนักงาน, และการใช้เทคโนโลยีความปลอดภัยที่ทันสมัย คือเกราะป้องกันที่ดีที่สุดในการปกป้ององค์กรของคุณจากภัยคุกคามที่นับวันจะยิ่งทวีความรุนแรงขึ้นในประเทศไทย
คำถามที่พบบ่อย (FAQ)
แหล่งอ้างอิงที่น่าเชื่อถือ:
- ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA Thailand): https://www.ncsa.or.th/
- สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA): https://www.etda.or.th/th/