ระดับความเสี่ยงต่อแรนซัมแวร์และการให้ความสำคัญกับการสำรองข้อมูลของประเทศไทย

ประเทศไทยถือเป็นหนึ่งในเป้าหมายสำคัญของการโจมตีทางไซเบอร์ในภูมิภาคเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ โดย “แรนซัมแวร์” ยังคงเป็นภัยคุกคามอันดับต้นๆ ที่สร้างความเสียหายรุนแรงทั้งในเชิงมูลค่าและการดำเนินงาน อย่างไรก็ตาม ระดับความเสี่ยงและการให้ความสำคัญกับการป้องกัน (โดยเฉพาะการสำรองข้อมูล) ของแต่ละภาคส่วนในประเทศยังมีความแตกต่างกันอย่างมีนัยสำคัญ

ข้อจำกัดด้านข้อมูล: การค้นหาสถิติแบบแยกรายปีที่ชัดเจนสำหรับแต่ละภาคส่วนนั้นทำได้ยาก เนื่องจากรายงานส่วนใหญ่มักจะรวมข้อมูลของภาครัฐและเอกชนไว้ด้วยกัน บทวิเคราะห์นี้จึงใช้ข้อมูลจากรายงานสรุปและเหตุการณ์สำคัญเพื่อประเมินแนวโน้มในแต่ละช่วงปี

ภาคเอกชน (Private Sector)

ระดับความเสี่ยงต่อแรนซัมแวร์: สูงมาก (Very High)

ภาคเอกชนคือเป้าหมายอันดับหนึ่งของแฮกเกอร์ เนื่องจากเป็นเจ้าของข้อมูลที่มีมูลค่าสูง (ข้อมูลลูกค้า, ข้อมูลการเงิน, ทรัพย์สินทางปัญญา) และมีแนวโน้มที่จะสามารถจ่ายค่าไถ่ได้

  • สถิติและแนวโน้ม:
    • 2020-2022: การโจมตีทวีความรุนแรงขึ้นหลังการระบาดของ COVID-19 ที่ผลักดันให้เกิดการทำงานแบบรีโมท (Remote Work) ซึ่งเพิ่มช่องโหว่ในการเข้าถึงระบบเครือข่ายขององค์กร
    • 2023: รายงาน “The State of Ransomware 2023” โดย Sophos ระบุว่า องค์กรในไทยที่ถูกโจมตี มีถึง 75% ที่ข้อมูลถูกเข้ารหัสได้สำเร็จ ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยทั่วโลก
    • 2024: รายงานฉบับล่าสุด “The State of Ransomware 2024” โดย Sophos ยังคงชี้ว่าองค์กรในไทย 73% ถูกโจมตีด้วยแรนซัมแวร์ในช่วงปีที่ผ่านมา และค่าใช้จ่ายเฉลี่ยในการกู้คืนระบบทั้งหมดพุ่งสูงถึง 2.4 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ประมาณ 88 ล้านบาท)
    • กลุ่มอุตสาหกรรมเสี่ยงสูง: ภาคการผลิต, สถาบันการเงิน, ธุรกิจค้าปลีก, และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง โรงพยาบาลเอกชน ซึ่งเก็บข้อมูลอ่อนไหวและมีความจำเป็นต้องดำเนินงานต่อเนื่อง

การให้ความสำคัญกับการสำรองข้อมูล ตระหนักรู้สูง แต่การปฏิบัติตัวจริงยังแตกต่างกัน

  • บริษัทขนาดใหญ่: มีความตระหนักรู้สูงมาก มีนโยบายด้านความปลอดภัยที่ชัดเจน และส่วนใหญ่มีแผนการสำรองข้อมูลที่ซับซ้อน (เช่น ใช้กฎ 3-2-1, มี Off-site backup ทั้งในและต่างประเทศ) เพราะตระหนักถึงมูลค่าความเสียหายทางธุรกิจ
  • ธุรกิจขนาดกลางและขนาดย่อม (SMEs): เป็นจุดที่น่าเป็นห่วงที่สุด แม้จะเริ่มตระหนักถึงความเสี่ยง แต่ด้วยข้อจำกัดด้านงบประมาณและบุคลากร ทำให้แผนการสำรองข้อมูลมักไม่แข็งแกร่งพอ เช่น อาจมีแค่ External Hard Drive ที่เชื่อมต่อกับเซิร์ฟเวอร์ตลอดเวลา ซึ่งเสี่ยงต่อการถูกเข้ารหัสไปด้วยกันทั้งหมด

หน่วยงานภาครัฐ (Government Sector)

ระดับความเสี่ยงต่อแรนซัมแวร์: สูง (High)

หน่วยงานรัฐเป็นเป้าหมายที่มีคุณค่าสูง (High-Value Target) ในเชิงผลกระทบต่อสาธารณะ แม้แฮกเกอร์อาจไม่คาดหวังเงินค่าไถ่จำนวนมากเท่าภาคเอกชน แต่การโจมตีสำเร็จสามารถสร้างความเสียหายต่อความเชื่อมั่นและทำให้บริการประชาชนหยุดชะงักได้

  • สถิติและแนวโน้ม:
    • 2020: เกิดเหตุการณ์โจมตี โรงพยาบาลสระบุรี ซึ่งเป็นจุดเปลี่ยนสำคัญที่ทำให้ภาครัฐตื่นตัวอย่างมาก ข้อมูลผู้ป่วยถูกเข้ารหัสและไม่สามารถให้บริการได้ตามปกติ สร้างผลกระทบเป็นวงกว้าง
    • 2021-ปัจจุบัน: ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (NCSA) และ สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช.) รายงานการรับแจ้งเหตุจากหน่วยงานรัฐอย่างต่อเนื่อง โดยแรนซัมแวร์เป็นหนึ่งในภัยคุกคาม 5 อันดับแรกเสมอมา
    • ความเสี่ยงหลัก: การรั่วไหลของข้อมูลส่วนบุคคลของประชาชน และการหยุดชะงักของบริการที่จำเป็น (Essential Services)

การให้ความสำคัญกับการสำรองข้อมูล ตระหนักรู้สูงขึ้นมากหลังเกิดเหตุการณ์ใหญ่

หลังเหตุการณ์โรงพยาบาลสระบุรีและเหตุการณ์อื่นๆ ที่ตามมา หน่วยงานรัฐส่วนใหญ่ถูกกระตุ้นให้ทบทวนนโยบายความปลอดภัยของตนเอง มีการจัดสรรงบประมาณและให้ความสำคัญกับการสำรองข้อมูลมากขึ้น อย่างไรก็ตาม การนำไปปฏิบัติยังคงมีความท้าทายในบางหน่วยงาน เนื่องจากข้อจำกัดด้านงบประมาณในแต่ละปี และความซับซ้อนของระบบเดิมที่ต้องใช้เวลาในการปรับปรุง

ประชาชนทั่วไป (General Public)

ระดับความเสี่ยงต่อแรนซัมแวร์: ปานกลาง (Moderate)

คนทั่วไปมักไม่ใช่เป้าหมายโดยตรงของแรนซัมแวร์ที่มุ่งเน้นการเรียกค่าไถ่ราคาสูง แต่มีความเสี่ยงที่จะ “ติดร่างแห” จากการโจมตีแบบหว่าน ซึ่งมักแพร่กระจายผ่านอีเมลหลอกลวง (Phishing), ลิงก์อันตราย, หรือการดาวน์โหลดซอฟต์แวร์เถื่อน

  • สถิติและแนวโน้ม:
    • รายงาน “ผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย” โดย ETDA ในแต่ละปี (เช่น ปี 2022, 2023) มักจะชี้ให้เห็นว่าความกังวลอันดับต้นๆ ของผู้ใช้งานคือ “ความไม่มั่นคงปลอดภัยในการใช้อินเทอร์เน็ต” และ “การรั่วไหลของข้อมูลส่วนตัว”
    • แม้จะไม่มีสถิติจำนวนผู้ที่โดนแรนซัมแวร์โดยตรง แต่จำนวนการแจ้งความคดีออนไลน์ที่เกี่ยวข้องกับมัลแวร์และฟิชชิ่งซึ่งเป็นช่องทางหลักของแรนซัมแวร์นั้นมีสูงมาก
    • ความเสียหาย: สำหรับบุคคลทั่วไป ความเสียหายไม่ใช่ตัวเงิน แต่เป็นการสูญเสียข้อมูลที่มีคุณค่าทางจิตใจอย่างถาวร เช่น รูปภาพครอบครัว, วิดีโอ, เอกสารสำคัญ ที่ไม่ได้สำรองไว้

การให้ความสำคัญกับการสำรองข้อมูล: ตระหนักรู้ต่ำและแนวปฏิบัติไม่สม่ำเสมอ นี่คือกลุ่มที่เปราะบางที่สุดในด้านการป้องกันข้อมูล ประชาชนส่วนใหญ่:

  • ไม่เข้าใจความเสี่ยง ไม่คิดว่าตนเองจะเป็นเป้าหมาย
  • ไม่มีการสำรองข้อมูล หรือหากมี ก็มักจะเป็นการใช้บริการ Cloud Storage (iCloud, Google Photos) โดยอัตโนมัติ ซึ่งอาจไม่เพียงพอและไม่เข้าใจวิธีการกู้คืนที่ถูกต้อง
  • ขาดการทำ Off-line Backup น้อยคนมากที่จะมีการสำรองข้อมูลลงบนฮาร์ดดิสก์ภายนอกและเก็บแยกไว้ต่างหาก ซึ่งเป็นวิธีป้องกันแรนซัมแวร์ที่ดีที่สุดวิธีหนึ่งสำหรับผู้ใช้ทั่วไป
ภาคส่วนระดับความเสี่ยงต่อแรนซัมแวร์การให้ความสำคัญกับการสำรองข้อมูล
ภาคเอกชนสูงมากตระหนักรู้สูง แต่การปฏิบัติจริงแตกต่างกัน (SMEs ยังมีความเสี่ยง)
หน่วยงานภาครัฐสูงตระหนักรู้สูงขึ้นมากหลังเกิดเหตุใหญ่ แต่การปฏิบัติยังไม่ทั่วถึง
ประชาชนทั่วไปปานกลางตระหนักรู้ต่ำมาก และมีแนวปฏิบัติที่ไม่สม่ำเสมอ

ข้อมูลอ้างอิง

  1. Sophos: รายงานประจำปี “The State of Ransomware” (มีข้อมูลแยกเฉพาะสำหรับประเทศไทย)
  2. สำนักงานพัฒนาธุรกรรมทางอิเล็กทรอนิกส์ (ETDA): รายงานผลการสำรวจพฤติกรรมผู้ใช้อินเทอร์เน็ตในประเทศไทย (Thailand Internet User Behavior)
  3. สำนักงานคณะกรรมการการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (สกมช. หรือ NCSA): รายงานสรุปสถานการณ์ภัยคุกคามทางไซเบอร์ประจำปี
  4. ศูนย์ประสานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยไซเบอร์แห่งชาติ (TCSA): รายงานและข่าวสารการแจ้งเตือนภัยคุกคาม
  5. สื่อมวลชนที่น่าเชื่อถือ: สำหรับการรายงานข่าวเหตุการณ์การโจมตีที่สำคัญ เช่น กรณีโรงพยาบาลสระบุรี

เราคือที่ปรึกษาด้าน Cybersecurity สำหรับองค์กรของคุณ

Click to rate this post!
[Total: 0 Average: 0]
Index
Scroll to Top